วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Ferrari F12 berlinetta



หากพูดถึง รถสปอร์ต หรือ รถนำเข้า จะไม่เอ่ยถึง Ferrari คงไม่ได้ 
ทายาทเครื่องยนต์ V12 ลำล่าสุดจากค่ายม้าลำพอง Ferrari F12  ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ ปี 2012 ในชื่อว่า Ferrari F12 berlinetta ซึ่งมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่งดงาม บนมิติตัวถังความยาว 4,618 มม. ความกว้าง 1,942 มม. และความสูงเพียง 1,273 มม. อาบไล้ด้วยสีสันสะดุดตา แดงสด Rosso Berlinetta ช่วยเพิ่มความโฉบเฉี่ยวให้กับงานดีไซน์รถสปอร์ตอย่างลงตัว ตามหลักอากาศพลศาสตร์ ที่ใช้โปรแกรม CFD (Computational Fluid Aynamics) เป็นตัวคำนวณในอุโมงค์ลม ซึ่งดีไซน์ใหม่ของ F12 berlinetta นั้นสามารถสร้างแรงกด Downforce ได้มากถึง 76% หรือราว ๆ 123 กก. ที่ความเร็ว 200 กม/ชม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน (Cd.) ต่ำเพียง 0.299 ซึ่งงานออกแบบทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากฝีมือของสำนัก Ferrari Styling Centre ร่วมมือกับเขาประจำ Pininfarina จนได้เรือนร่างคล้ายกับรถคูเป้ ส่วนภายในยังแสดงถึงความหรูหราด้วยวัสดุหนัง Frau ที่ปูไว้ทั่วทั้งคัน โดยใช้งานฝีมือ Handcrafted ผสมผสานด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์และอะลูมิเนียมในส่วนของกรอบช่องแอร์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากแนวคิด aeronautic field
ถึงแม้จะเป็นรถสปอร์ต แต่ก็สามารถให้ความสะดวกสบายได้อย่างสมตัว จากห้องโดยสารที่กว้างขวาง และห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายขนาดใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นจากการดีไซน์รูปแบบตัวถังด้านหลังใหม่ รวมถึงบริเวณ Cockpit คนขับ และการจัดวางอุปกรณ์ต่าง ๆ ในตำแหน่งที่ใช้งานได้สะดวก ตามหลักการ human Machine Interface เพื่อเสริมประสิทธิภาพการขับขี่ให้ดีที่สุด
โครงสร้างตัวรถนั้น เลือกใช้วัสดุอะลูมิเนียมเป็นหลัก ในขณะที่การผลิตขึ้นงานแซสซี และตัวบอดี้นั้นกลับเลือกใช้วัสดุที่หลากหลายถึง 12 ชนิด ในการเสริมความแข็งแกร่งขึ้นอีก 20% แต่สามารถลดน้ำหนักลงได้ถึง 70 กก. เมื่อเทียบกับโมเดลที่แล้ว และยังทำให้ F12 berlinetta เวอร์ชั่นนี้มีน้ำหนักโดยรวมเพียงแค่ 1,525 กก.เท่านั้น
ขุมพลังมากับเครื่องยนต์ V12 สูล ไร้เทอร์โบ มีความจุสุทธิ 6,262 ซี.ซี วางทำมุม 65 องศา เพื่อ
บาลานซ์น้ำหนักหน้า-หลัง อย่างสมดุลที่ 46
% และ 54% จนปั่นกำลังสงสุดได้ที่ 740 แรงม้า โดยมีแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 690 นิวตัน-เมตร ที่ 6,000 รอบต่อนาที
ส่งกำลังด้วยเกียร์คลํตซ์คู่ F1 dual-clutch ที่ปรับอัตราทดใหม่ให้สั้นกระชับ เพื่อการส่งถ่ายพละกำลังอย่างต่อเนื่อง และสร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.1 วินาที เลยไปถึง 200 กม./ชม. ใน 8.5 วินาที แถมทีมทดสอบยังได้นำไปหวดในสนามทดสอบ Florano Circuit ที่มีความยาว 3.021 กม. ได้ในเวลาเพียง 1.23.00 นาที ส่งผล Ferrari F12 berlinetta กลายเป็นรถ Road Car ที่ทำเวลาดีที่สุดของ Ferrari ไปในทันที่ แต่กลับมีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ต้นสังกัดได้ปรับให้ดีขึ้นอีก 30% พร้อมด้วยความสะอาดที่ราว ๆ 350 กรัม./กม.
เสถียรภาพการขับขี่ยังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจ ด้วยระบบเบรก CCM3 (Carbon-Ceramic Brakes) เจเนอเรชั่นล่าสุด ต่อเนื่องถึงชุดช่วงล่างแบบแม่เหล็กไฟฟ้า SCM-E (Magnetorheological Suspension Control System) รวมไปถึงระบบล็อกเฟืองท้าย E-Diff, ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP. ระบบ F1- Trac และท้ายสุด คือระบบเบรก ABS สมรรถนะสูง

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เปรียบเทียบให้เห็นกันชัด Countryman VS Paceman



PACEMAN แสดงให้เห็นถึงดุลยภาพที่เหนือกว่า ทำให้พวงมาลัยมีสัมผัสที่แน่นอนขึ้น
        มาถึงเจ็ดจนได้ จากแรกเมื่อวาน Mini ยุคนิวเอจเปิดตัวในปี 2001 BMW ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแบรนด์เล็กอย่าง “MW ให้กลายเป็นสินค้าเฟรนไชส์หลากโมเดล เพื่อหวังเจาะตลาดนิชในนิชอีกที และคงไม่มีวิธีไหนจะอธิบายแนวคิดรถ Mini Paceman ได้ดีไปกว่าเอามันมาขับที่นี่ ในฐานงานต้นแบใกล้คันจริง และ (ที่สำคัญ) ในเวร์ชั่นคูเป้
Countryman SUV?
        เช่นเดียวกับรุ่นห้าประตู Paceman ถูกวางตัวมาให้เป็นอีกหนึ่งทายาท Mini ต่อจากรุ่นแฮทช์แบ็ค, เอสเตท, คาบริโอ, โรดสเตอร์ และคูเป้ สอดคล้องตามแผนการอนุรักษ์และขยายพันธุ์
        เบื้องหลังเทปพันตัวเห่ย ๆ (หวังปกปิดรูปพรรณไว้เป็นความลับสุดยอด ก่อนกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน ที่ผ่านมา) ว่ากันตามหลักแล้ว Paceman ก็คือ Countryman เวอร์ชั่นสามประตูนั่นเอง และถ้านับจากเสา A ไล่ลงมา พวกมันจะเหมือนกัน “เดียะ” แต่กระจกบังลมของ Paceman จะอยู่ต่ำกว่า กับรูฟไลน์สไตล์คูเป้ ซึ่งจะกดลงต่ำกว่ารุ่นห้าประตู 40 มม. ไฟท้ายคนละดีไซน์ และนี่จะเป็นรถ BMW Mini รุ่นแรกที่แปะชื่อโมเดลไว้ตรงบั้นท้ายรถ
        ระบบกำลังดึงมาจาก Countryman ทั้งยวงกับมีให้เลือกทั้งเครื่องเบนซินและดีเซล ระบบขับสองหรือสี่ เกียร์กระปุกหรือออโต้ และเห็นอ้อนแอ้น ๆ แบบนี้ Paceman จะมีน้ำหนักตัวเบากว่า Countryman แค่ 20 กก. แถมทำตัวเลขสมรรถนะและความประหยัดแทบจะเท่ากันเป๊ะ 0-100 กม. ต่างกันแค่จุดหนึ่งวินาทีเท่านั้น
        ภายในยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งแผนหน้าปัด-อุปกรณ์ที่เหมือนกันยังกับแกะ ไม่นับสวิตซ์กระจกไฟฟ้า ที่โยกจากคอนโซลกลางไปไว้ที่ประตูฝั่งคนขับ สเปซพื้นที่ตอนหลังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่เวลาเข้าไปนั่งจะต้องพับเบาะหน้าลงก่อน
        เช่นนั้น มันมีอะไรที่แตกต่าง? เยอะเลยค่ะ โดยเฉพาะเมื่อเอาทั้งคู่มาลองขับเทียบ บนหน้ากระดาษ, ช่วงล่างปรับแต่งใหม่ของ Paceman อาจดูผาด ๆ โช้คสปริงเฟิร์มขึ้นเล็กน้อย (ไม่มีตัวเลขออกมา) โหลดเตี้ยลง 10 มม. กับจูนระบบบังคับเลี้ยวไฟฟ้าใหม่อีกนิดหน่อย แต่วิ่งจริงบนถนนเลียบเขาลื่น ๆ ในสเปน ที่เราใช้เป็นจุดสอบเทียบรถทั้งสองคัน Paceman กลับให้สัมผัสเฉียบคมกว่า Countryman
        ทั้งสองคันให้ระดับการยึดเกาะเท่ากัน แต่ขณะที่ Countryman จะมีการดื้อโค้งเวลาเหวี่ยงโค้งยืด ๆ แบบเดียวกับ mini Cooper S Paceman จะให้บาลานซ์ระหว่างหน้ากับท้ายดีกว่า แถมยังได้เพลาหลังช่วยกระดกส่งในจังหวะสอดเข้าสัมผัสพวงมาลัยแน่นอนกว่าเดิม มันออกไปทางรถ XL Mini แฮทซ์แบ็คมากกว่า Countryman ตัวโคลน อ้อ...สมรรถนะการขับขี่และซับแรงกระแทกก็ดูดีขึ้นด้วย
        สัมผัสกำลังเครื่องยนต์ 1.6 เทอร์โบ (Countryman ก็เช่นเดียวกัน) ที่เหมือนจะไม่ถึง 184 แรงม้า ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับพิกัดตัว 1,435 กก. แนวโน้มคือเราน่าจะได้เห็นเวอร์ชั่น John Cooper Works 211 แรงม้าในอนาคต (เป็นตัวปิดท้าย)
        แต่นั่นก็มิอาจหยุดยั้งยอดขาย (ล่าสุดเป็นรถขายดีอันดับสามใน UK) ของ Countryman โดยภาพรวม Paceman ดูเป็นงานที่ดีกว่า และเน้นเจาะไปที่กลุ่มลูกค้าซึ่งโตมากับ Mini แฮทช์แบ็ค แต่อยากได้อะไรที่แตกต่าง ราคาใน UK ยังไม่เป็นที่สรุป แต่มีพรายกระซิบ บอกมาว่า น่าจะแพงกว่า Countryman ราว 1,200 ปอนด์ แต่แถมส่วนประกอบมาตรฐานให้เยอะขึ้น นั่นแปลว่าราคาตัวดีเซล-ขับสี่รุ่นท๊อปอาจพุ่งไปถึง 26,000 ถึงงั้นก็ยังถูกกว่า Evoque อยู่ดี
http://about.me/setpoint_group

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

PORSCHE GUNS



PORSCHE GUNS
รถนำเข้า ซุปเปอร์คาร์เครื่องวางกลาง 600 แรงม้า ภายใต้ชื่อรหัส “960” มันคือผลลงานทางประวัติศาสตร์ ด้านยนตรกรรม ได้ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคม จากกลุ่ม Volk Group ที่เพิ่งนำ Porsche เข้ามาอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน โดยการปรับทิศทางของบริษัทผู้สร้างรถสปอร์ตไปสู่แผนการที่ต่างออกไปจากเดิม ก่อนหน้านี้
 VW ได้เข้ามาควบคุมแผนงานต่าง ๆ ระยะหนึ่งแล้ว แต่การถือครอง Porsche ก็สร้างความเสี่ยงไม่น้อย กับบทบาทของแบรนด์ที่ต้องเป็นผู้นำในเรื่องสมรรถนะ
        Porsche ถูกกำหนดให้มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนภายในอีก 5 ปี ข้างหน้า โดยมีการตั้งเป้าไว้ด้วยว่า จะต้องมีการขายที่ดีกว่าเดิมอีก 1 เท่าตัวในปี 2018
        รถนำเข้า ที่ถือว่าน่าตื่นเต้นที่สุดที่กำลังจะออกมาเป็นซุปเปอร์คาร์ เครื่องวางกลางที่ตั้งใจออกมาเป็นคู่แข่งสำคัญของ Ferrari มันคือรถที่คุณกำลังมองแบบร่างด้านบน ซึ่งน่าจะออกสู่ตลาดในช่วงปลายปี 2014
        รถที่กำลังถูกพัฒนารุ่นนี้ รู้จักกันดีภายใต้ชื่อ “960” โดยถูกวางแผนให้อยู่ระหว่างความเป็นรถ 911 เวร์ชั่นล่าสุดอย่าง 991 ที่แรงที่สุด กับรถสุดแพงที่กำลังจะออกมาเร็ว ๆ นี้อย่าง 918 Spyder โปรเจ็คนี้ถูกตั้งเป้าหมายให้ออกมาเป็น Porsche ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Ferrari โดยมี 458 Italia และ Mclaren MP4-12C เป็นโจทย์หลัก
        เจ้ารถรุ่น 960 กำลังถูกสร้างขึ้นภายใต้การออกแบบโครงสร้างรถสปอร์ตแบบใหม่จาก VW Group ภายใต้ชื่อแพลทฟอร์ม “MSB” ซึ่ง Porsche นั้นถือเป็นผู้นำในการพัฒนา MSB อยู่แล้ว โดยมีแผนการว่า จะใช้เทคโนโลยีเดียวกันนี้ เป็นพื้นฐานสำหรับรถในกลุ่ม GT r2012 และ ซุปเปอร์คาร์เจนเนอเรชั่นต่อไปทั้งหมดของ VW Group เจ้าแพลทฟอร์ม MSB นี้ จะมีเลย์เอาท์ทั้งสำหรับเครื่องยนต์วางหน้า วางกลาง และวางหลัง ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำหรับรถรุ่นต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Audi R8 รถนำเข้าทั้งคัน


รถนำเข้า ที่ได้รับความสนใจทุกครั้งที่เปิดตัว รุ่นใหม่ ครั้งนี้ก็มาแรง ไม่แพ้ใคร

ครั้งแรกที่เห็น Audi R8 เมื่อหลายปีที่แล้ว เราว่าก็สวยน่ามองแล้ว แต่พอได้เห็นโฉมของปี 2013 ก็ต้องบอกว่าตัวใหม่ยิ่งสวยกว่า เปรี้ยวกว่าและน่ามองกว่า มันดูเหมือนจะเข้าใกล้รถยนต์ในเรื่อง IRobot  ที่ทาง Audi ทำไว้ทุกที ภายนอกมีการเปลี่ยนไฟ LED และกระจังหน้าเล็กน้อย สำหรับภายในมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนักเช่นกัน การจัดวางตำแหน่งของปุ่มต่าง ๆ หน้าปัดที่เน้นความเรียบง่าย แต่หรูหรา Audi ยังคงเน้นให้ผู้ขับขี่ศูนย์กลาง และโบกระชับทุกอย่างเข้าหาตัวผู้ขับเป็นหลัก เพิ่มความสวยแบบเซ็กซี่นิด ๆ ด้วยการเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดงรอบเบาะ และแผงหน้าปัด พร้อมวัสดุใหม่อย่างคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อลดน้ำหนักของรถลงไปด้วย ราคาในสหรัฐ เปิดตัวที่ 3.6 ล้านบาท

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

รถปอร์ตนำเข้า ที่แข่งขันทุกเรื่อง Spider VS Ferrari


12CSpider ตามสเปกเหนือกว่า Ferrari 458 แต่ไม่มาก
            กระแสความโดดเด่นระหว่าง รถสปอร์ตนำเข้าสุดหรู สองคันนี้ กินกันไม่ลงจริงจริง McLaren MP4-12C กับ Ferrari 458  Italia ได้รับความสนใจจากสื่อสายยานยนต์พอสมควรก่อน 12C Spider ถูกผลิตขึ้น McLaren ก็ได้เปรียบ Maranello ไป 1 ก้าว ในด้านเทคนิค แต่ Ferrari อวดคุณสมบัติว่า 458 รุ่นเปิดประทุน คือ รถสปอร์ตนำเข้า รุ่นแรกที่สามารถทำเป็นหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ แต่การออกแบบส่วนหลังใหม่ของ Ferrari 458 Spider กลับต้องตัดเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกไปนั่นคือ แผงกระจกที่มองทะลุเห็นฝาครอบเครื่องยนต์ วี 8 สูบ 4.5 ลิตรสีแดง
            McLaren เลือกใช้วิธีต่างออกไป แม้ 12C Spider มีหลังคาพับได้แบบ 2 ชิ้น แต่ด้วยวิธีการอันชาญฉลาดก็ได้สร้างแผ่นใส ซึ่งมองทะลุไปเห็นเครื่องยนต์ วี 8 ได้ ตลอดเวลา แม้เป็นช่องขนาดเล็ก แต่ก็เป็นข้อดีที่ทำให้ Mclaren ถือไพ่เหนือกว่า และผู้สนใจเป็นเจ้าของก็คงชื่นชอบรถนำเข้าตัวนี้ ในจุดนี้
            ส่วนหลังคาทำจากวัสดุผสม สามารถกางหรือพับเก็บในเวลา 17 วินาที และทำงานได้ถึงความเร็ว 31 กม./ชม. กระจกหน้าต่างด้านหลังสามารถควบคุมแยกกันได้ เพื่อใช้เป็นแผงกั้นลมเมื่อขับเปิดหลังคา พร้อมมีชุดกระเป๋าสัมภาระที่ออกแบบและผลิตขึ้นพิเศษเพื่อให้เข้ารูปตามขนาดที่เหลืออยู่ท้ายรถ ส่วนการปกป้องเวลารถคว่ำก็มีโครงสร้างเหล็กกล้า คอยช่วยรับโดยซ่อนอยู่ในโป่งล้อหลัง
            12 Spider เป็นเวอร์ชัน 2 ในสายพันธ์ MP4-12C และใช้พื้นฐานตัวถังเป็นคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาแบบชิ้นเดียวเหมือนกับรุ่นคูเป้ มีระบบ BrakeSteer ProActive chasis Control รวมถึง Mclaren Airbrake สิ่งที่ได้อัพเกรดตามเวอร์ชันล่าสุดปี 2013 คือ เครื่องยนต์ วี 8 สูบ 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ เพิ่มกำลังจาก 592 เป็น 616 แรงม้า ทำความเร็ว 0-100 กม./ชม. ใน 3.1 วินาที เร็วพอๆ กับรุ่นคูเป้
            ระบบ Intake Sound Generator มีให้เลือก ว่าต้องการเสียงเครื่องยนต์ในห้องโดยสารดังแค่ไหน ระบบเกียร์แบบคลัตช์คู่ 7 จังหวะ เปลี่ยนเกียร์ได้เร็วและนุ่มนวลขึ้น
            ยาง Pirelli P Zero Corsa เป็นออปชันให้เลือกได้ และทำความเร็ว 0-160 กม./ชม. ช้ากว่ารุ่นคูเป้เพียง 0.1 วินาที ความเร็วสูงสุดแม้ช้ากว่า 4.8 กม./ชม. แต่ก็ทำได้เร็วถึง 328 กม./ชม.
            ความเร็วสูงสุดนี้เร็วกว่า Ferrari 458 อยู่ 9.6 กม./ชม. เยี่ยมกว่านั้นคือ น้ำหนักของ  Spider มากกว่าคูเป้เพียง 40 กก. โดยน้ำหนักตัวรถเปล่า ๆ 1,376 กก. ส่วน Ferrari 1,430 กก.
            ด้วยกำลังมากกว่า Ferrari 458 อยู่ 54 แรงม้า และแรงบิดมากกว่า 6.2 กก.-ม. กับน้ำหนักตัวที่เบากว่า 54 กก. ทำให้ McLaren มีความเหนือกว่า หากดูจากตัวเลขสเปกต่าง ๆ ด้วยความคาดหวังว่าจะสร้างความเร้าใจ ทั้งด้านรูปลักษณ์และสุ้มเสียงได้มากกว่าเดิม
            McLaren 12C Spider เตรียมออกจำหน่ายในยุโรปเดือนพฤศจิกายน 2012 ราคา 195,500 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยไม่รวมภาษี 9.7 ล้าน แต่สำหรับคนไทย รถนำเข้า อย่าลืมบวกภาษีด้วยนะจ้า 

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เมื่อเมอร์ซิเดส ไม่หยุดนิ่ง ในวงการรถนำเข้า


แวนกอนท้ายลาด CLS Gen 2
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวแรง ๆ ในตลาดรถแวกอน ตั้งแต่เปิดตัว CLS 250 ในปี 2004 ส่วนออดี้มีเวอร์ชัน Sportback อยู่ในรถเกือบทุกรุ่น บีเอ็มดับเบิลยูก็ภูมิใจกับยอดขายเอสยูวีทรงลาดคล้ายรถสปอร์ตนำเข้า ซึ่งขายดีทั่วโลก
            เมอร์เซเดส-เบนซ์กลับมาลุยตลาดด้วย CLS Shooting Brake พร้อมประกาศว่าเป็นรถสปอร์ต 5 ที่นั่งมาพร้อมประตูท้ายลาดเวอร์ชันแรกในประวัติศาสตร์ถ่ายทอดรูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยวจากรถต้นแบบ Shooting Brake Concept 2010 มาพร้อมกรอบไฟหน้า แอลอีดี เส้นสายหลังคาที่โค้งลาดเอียง และสปอยเลอร์ขนาดเล็กบนฝาประตูท้าย
            เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัว CLS Shooting Brake ตัวถังแวกอนของ CLS เจนเนอเรชัน 2 พร้อมรูปลักษณ์แตกต่างจาก Shooting Brake Concept ที่เผยโฉมใน 2010 ปักกิ่ง มอเตอร์โชว์ เพียงเล็กน้อย ขนาดตัวถังขยายขึ้นบ้าง กว้าง 1,881 มม. ยาว 4,956 สูง 1,413 มม. พื้นที่บรรทุกสัมภาระจุ 590-1,550 ลิตร ขึ้นอยู่กับรูปแบบการปรับเบาะ
            รูปลักษณ์ Shooting ดูเหมือนกับ CLS ตั้งแต่กระจังหน้าไปจนถึงเสาบี ทั้งภายในและภายนอกต่อจากนั้นเส้นสายหน้าต่างทรงเพรียวบางและดูยาวนำไปสู่ประตูหลังที่ดีไซน์โฉบเฉี่ยว และบั้นท้ายออกแบบให้ลาดเพรียวลมมากกว่ารถแวกอนทั่วไป ซึ่งอ้างอิงรถรูปแบบ Shooting Brake ในอดีต
            มีเครื่องยนต์ให้เลือก 4 บล็อก คือ
            CLS 250 CDI BlueEFFICIENCY ดีเซล 4 สูบ 2.1 ลิตร 204 แรงม้า แรงบิด 60 กก.-ม. 0-100 กม./ชม. ใน 7.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กม./ชม.
            CLS 350 CDI BlueEFFICIENCY ดีเซล วี 6 สูบ 3.0 ลิตร 260 แรงม้า แรงบิด 63.2 กก.-ม. 0-100 กม./ชม. ใน 6.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
            CLS 350 BlueEFFICIENCY ดีเซล วี 6 สูบ 3.5 ลิตร 306 แรงม้า แรงบิด 37.8 กก.-ม. 0-100 กม./ชม. ใน 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
            CLS 500 BlueEFFICIENCY ดีเซล วี 8 สูบ 4.8 ลิตร 480 แรงม้า แรงบิด 61.2 กก.-ม. 0-111 กม./ชม. ใน 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
            สำหรับตัวแรงเวอร์ชัน AMG เตรียมทำตลาดภายหลังด้วยชื่อ CLS 63 AMG Shooting Brake ยกระบบมาจาก CLS 63 AMG Coupe เครื่องยนต์ วี 8 สูบ 5.5 ลิตร ทวินเทอร์โบชาร์จ 518 แรงม้า ถ้าเสริมชุด AMG Performance package จะเพิ่มเป็น 550 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ 300 กม./ชม.
            ภายในห้องโดยสารนอกจากตกแต่งด้วยหนังแท้และลายไม้แล้ว พื้นด้านหลังเบาะแถว 2 ทำจากไม้เชอรี่ มาพร้อมกับรางอะลูมิเนียมผสมยาง รถคันนี้จึงไม่ใช่เพียงเพื่อขับจ่ายตลาด หรือพาสุนัขไปกินลมแต่เป็นรถเอสเตทที่เหมาะแก่การขับให้คนสนใจมองมากกว่าเพื่อขนของ
            เตรียมออกจำหน่ายเดือนพฤศจิกายน 2012 ด้วยราคา 48,000 ปอนด์ หรือประมาณ 2.1 ล้านบาท ในอังกฤษ